เลือกสีออฟฟิศอย่างไรให้น่าทำงาน | 5 เทคนิคเลือกสีออฟฟิศฉบับมือใหม่
อัพเดตล่าสุด 20/05/2025
→ เลือกสีออฟฟิศอย่างไรให้น่าทำงาน | 5 เทคนิคฉบับมือใหม่
สี เป็น ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของออฟฟิศ การเลือกสีที่ใช่, ถูกต้อง, หรือเหมาะสมกับออฟฟิศ เป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่องานและผลิตภัณฑ์ สำหรับใครที่กำลังจะมีไอเดีย รีโนเวทออฟฟิศใหม่ หรือกำลังจะเช่า หรือทำออฟฟิศใหม่ บทความนี้มีคำตอบครับ
รู้หรือไม่ การเลือกสีเฟอร์นิเจอร์มีผลกับการทำงานอย่างมาก ทั้งในเรื่องอารมณ์ ภาพลักษณ์ของการทำงาน
มาลองคิดดูเล่นๆกันครับ คนเรานั้นมีหลากหลายอารมณ์ และอารมณ์ในแต่ละวันก็แตกต่างกัน
ยกตัวอย่างเช่น
"นาย ก เป็นพนักงานทั่วไปที่ร่าเริงเป็นบางเวลา แต่เผอิญ เมื่อวานนาย ก โดนแฟนที่พึ่งคบตั้งแต่เมื่อวานบอกเลิก เศร้ามาก อยากลางาน แต่ลางานไม่ได้ ตกดึก นอนไม่หลับ ตอนเช้าเลยรีบมาทำงานเพราะกลัวฟุ้งซ่าน ปรากฏว่าเปิดประตูออฟฟิศแล้วเจอออฟฟิศโทนสีแบบนี้"
Pic from https://depositphotos.com/photos/interior-office-blue.html
"ในนี้มืดจังเลยฮะ"
ผู้เขียนคิดว่านาย ก คงไม่น่าจะอยากทำงานในวันนั้นแล้วแหละครับ
อีกทั้งยังมีงานวิจัยหลายๆงานวิจัยที่บ่งชี้ว่า สีมีผลต่ออารมณ์จริงๆ ดังนั้นแล้ว การเลือกสีออฟฟิศมีผลค่อนข้างมาก ทั้งในเรื่องของอารมณ์ ภาพลักษณ์ และสามารถทำให้ห้องดูมืด ดูสว่างได้อีกด้วย
ทีนี้เรามาเริ่มกับ สีต่างๆที่สามารถบ่งบอกถึงอารมณ์ต่างๆกันดีกว่าครับ
1) สีแดง
- พลัง
- ไอเดียใหม่ๆ
- ความร้อนแรง
- ความตื่นตัว
สีแดงช่วยเพิ่มความตื่นตัวและพลังงาน แต่ก็สามารถกลายเป็นความโกรธ และความเครียดได้เช่นกัน อีกทั้งเป็นสีที่มีความสว่างในตัว อาจจะไม่เหมาะกับงานที่ต้องใช้สมาธิสูง แต่เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการความรวดเร็ว ซึ่งอาจจะใช้กับห้องฝ่ายขาย หรือฝ่ายเซล เป็นต้น
2) สีแสด-เหลือง
- ความสว่างไสว
- ความสนุก
- ความร้อนแรง
- ความคิดสร้างสรรค์
ใครที่ทำงานเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ หรือครีเอทีฟ อย่ามองข้าม "สีเหลือง" เพราะสีนี้ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์
3) สีขาว
- ความบริสุทธิ์
- ความสะอาด
- อนาคต
เป็นสีที่เห็นบ่อยที่สุด เพราะมันเป็นสีที่เข้าทุกกับทุกสีเลย และสบายตา แต่ก็จะมีข้อเสียตรงที่เลอะง่าย และมีความจำเจนิดนึง
4) สีฟ้า-น้ำเงิน
- ความร่มเย็น
- ความน่าเชื่อถือ
- ความสงบ
ว่ากันว่าสีฟ้า-สีน้ำเงิน สามารถเพิ่มความคิดสร้างสรรค์และช่วยให้คนรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เหมาะกับออฟฟิศที่ต้องการสมาธิ เช่น งานบัญชี งานเขียนโค้ด เป็นต้น
5) สีเขียว
- ความธรรมชาติ
- ความปลอดภัย
- ความสงสัย
สีเขียวเป็นสีที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ซึ่งมีผลการศึกษายืนยันจาก University of Melbourne ว่าการมองสีเขียวช่วยลดความเครียด และเพิ่มสมาธิในการทำงานไม่แพ้สีฟ้า
6) สีดำ
- ความสุขุม
- ความแข็งแรง
- ความหรูหรา
- ความเท่
- ความหนักแน่น
สีดำ จะเป็นสีที่ทำให้ออฟฟิศดูสุขุม ดู minimal เหมือนสีขาว, แต่จะทำให้ห้องดูมืด และเป็นสีที่ต้องใช้ความรู้ ความเชี่ยวชาญในการจัดห้อง แต่ถ้าหากจัดแจงไฟดีๆ ไม่ว่าจะจากไฟธรรมชาติ หรือ ไฟจากหลอดไฟดีๆ สีดำจะทำให้ออฟฟิศดูมีสเน่ห์มาก
ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้ หากมีสีที่ต้องการ แต่กลัวว่าห้องจะมีสีที่เข้มจนเกินไป สามารถลดเฉดสี หรือทำให้เป็น "สีพาสเทล"
ซึ่งจะสามารถช่วยให้ห้องดูสว่างขึ้น และลงตัวกับสีอื่นมากขึ้น เช่น ลดเฉดสีดำลง เป็นสีเทาดำ หรือ เป็นสีเทาอ่อนไปเลย
*สีโทนธรรมชาติ
นอกจากสีที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว เรายังมีสีโทนพิเศษ นั่นคือสีโทนธรรมชาติ ซึ่งก็จะเป็นสีโทนไม้ สีน้ำตาล ถือว่าเป็นสีขี้โกง เพราะสามารถเข้าได้กับทุกโทน อีกทั้งยังสามารถเอามาเป็นสีหลักของออฟฟิศได้อีกด้วย
สีโทนธรรมชาติ จากเว็บไซต์ kapook “https://home.kapook.com/view54947.html”
อยากให้สีโทนออฟฟิศเป็นในรูปแบบไหน Rocky จัดให้ได้หมดเลยนะ
เมื่อเราพอเข้าใจแล้วว่า สีต่างๆ มีความหมาย และความเหมาะสมอย่างไร ทีนี้ก็มาถึงวิธีเลือกสีห้องออฟฟิศครับ
ซึ่งสีออฟฟิศไม่จำเป็นต้องมีแต่สีเดียวตลอด เราสามารถนำสีต่างๆมา Mix and Match ได้ ตามเคล็ดลับดังต่อไปนี้
5-เทคนิคเลือกสีออฟฟิศฉบับมือใหม่
1)การจัดห้อง แบ่งโทนสี
แน่นอนว่า เราต้องแบ่งโทนเฉดสีออกมาบ้าง ไม่ใช่ว่าฉันชอบสีคูลๆ เลือกเฟอร์นิเจอร์สีแดง + ทาสีแดงทั้งออฟฟิศไปเลย ซึ่งสามารถทำได้ แต่เรามองว่าการแบ่งสีจะทำให้เพิ่มความสบายตา และออฟฟิศดูสวยงามมากยิ่งขึ้น โดยเราจะยึดหลัก 60-30-10 หรือ 70-25-5 (ไม่จำเป็นต้องเป๊ะๆ)
สูตร 60-30-10 หรือ 70-25-5 แบ่งออกเป็น
- ตัวแรก 60 หรือ 70 คือสีเบสหรือสีหลัก
- ตัวที่สอง 30 หรือ 25 คือสีรอง
- ตัวที่สาม 10 หรือ 5 คือสีเสริม
อ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะยังงง หรือยังไม่เข้าใจว่า อะไรคือ 60-30-10 ต้องเลือกยังไง ทำยังไง
เดี๋ยวผู้เขียนจะยกตัวอย่างออฟฟิศจากบริษัทชั้นนำ มาอ้างอิงให้ดูครับ
Pic from Mostlydanish(https://mostlydanish.com/blogs/news/tips-for-choosing-furniture-colours)
พอจะเห็นภาพไหมครับ สีขาวซึ่งเป็นสีหลักจะเยอะที่สุดในห้อง รองลงมาคือสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีรอง จากนั้นก็จะเป็นสีเสริม (สีเหลือง,สีเขียว,สีแดง)
ทีนี้ผมจะลองยกตัวอย่างสีในออฟฟิศจากบริษัทที่มีชื่อเสียงมาบ้าง
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
Pic from Workventure (https://www.workventure.com/company/สมัครงาน-ธนาคารกรุงศรีอยุธยา-จำกัด-มหาชน/photos)
แกร็บ (ประเทศไทย)
Pic from Workventure (https://www.workventure.com/company/สมัครงาน-แกร็บ-ประเทศไทย/photos)
Google office https://invidis.de/2021/08/collaboration-google-misstraut-dem-home-office/
จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่า บริษัทหลายๆ บริษัทก็จะเลือกสี ขาว สีเทา สีครีมมาเป็นสีเบส(สีหลัก) ซะส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นสีที่คุมโทนง่าย เข้ากับสีอื่นได้ง่าย แล้วอาจจะมีสีอื่นๆเสริมเข้ามา เช่น ธนาคารกรุงศรี เลือกสีเหลือง ทำให้ดูสว่าง ดูสดใสตามสี อีกทั้งยังเป็นสีหลักของธนาคารกรุงศรีเป็นต้น
แต่ก็จะมีบางออฟฟิศอย่างออฟฟิศ google ที่ใช้สีเขียวเป็นสีหลักของห้อง ซึ่งก็สามารถทำได้อย่างลงตัว และมีสีสันเลยทีเดียว
เลือกสีอะไรไม่รู้ แต่ถ้าเลือกโต๊ะทำงานกลุ่ม เลือก Rocky
2) แบ่งสีแต่ละส่วน
แน่นอนว่า หากเราเลือกสีขาว จะทำทุกห้องเป็นสีขาวก็ย่อมได้ แต่หากอยากได้ความพิเศษ ความยูนีค สีไม่จำเป็น ไม่ทำให้ออฟฟิศน่าเบื่อจนเกินไป การแบ่งสีในแต่ละโซนหรือแต่ละห้อง จะช่วยให้ออฟฟิศดูมีความ "สนุก" และดึงดูดคนรุ่นใหม่มากขึ้น
2.1)แบ่งสีตามโซน
ยกตัวอย่างเช่นแบ่งสีตามโซนของบริษัท Coca cola หรือ โค้ก
ภาพจาก https://www.ms-architecture.hr/architecture-project/coca-cola-hbc
ภาพจะเห็นได้ว่าแม้จะอยู่ชั้นเดียวกัน ก็สามารถแบ่งสีตามโซนหรือแผนกได้
2.2)แบ่งสีตามห้อง
ยกตัวอย่างเช่น แบ่งสีตามห้องของบริษัท The Standard
ห้องที่ 1 โทนสีดำ เทา น้ำตาล ขาว (ขอบคุณภาพจาก Gooddayofficial)
ห้องที่ 2 โทนสีขาวอมเขียว + น้ำตาล (ขอบคุณภาพจาก Gooddayofficial)
3) หลีกเลี่ยงสีที่ตรงข้ามกัน
แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกสีที่สามารถใช้ด้วยกันได้ เพราะจะทำให้ออฟฟิศนั้นดูคุมโทนสีไม่ได้ ดูยุ่งเหยิง, แปลกตา, ไม่เข้ากัน โดยหลักๆแล้ว ความหลีกเลี่ยงสีดังนี้
สีเข้มกับสีอ่อน หรือ สีโทนสว่างกับสีโทนมืด หรือ สีที่อยู่โทนตรงข้ามกัน
ยกตัวอย่างเช่น สีแดง กับ สีน้ำเงิน, สีเหลือง กับ สีม่วง, สีแดงกับสีดำ
ซึ่งที่กล่าวมาข้างต้น เป็นสีที่เราไม่ควรเอามาเป็นสีหลัก และสีรองควบคู่กัน เพราะจะทำให้ออฟฟิศคุมโทนสีไม่ได้ เช่นกรณีแบบนี้
แต่สีเหล่านี้ สามารถใช้ได้กรณีเป็นสีเสริมได้ ยกตัวอย่างเช่น
ออฟฟิศ ของ Oracle https://www.officelovin.com/2021/05/a-tour-of-oracle-industries-innovations-office-lab-in-chicago/
4) เพิ่มความธรรมชาติเข้าไปหน่อย
การนำต้นไม้ต่างๆ นอกจากจะทำให้ห้องดูธรรมชาติมากขึ้นแล้ว ยังมีงานวิจัยว่า ต้นไม้ช่วยลดความเครียดลงได้ อีกทั้งยังทำให้โทนสีของห้องมีสีสันมากขึ้น ดังนั้นหากสังเกตุดีๆ ออฟฟิศของบริษัทชั้นนำ จะมีการนำต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้จริง หรือต้นไม้ปลอมมาไว้ในออฟฟิศนั่นเอง
5) อย่ามองข้ามเรื่องแสง
แสงก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างนึงของห้องของห้อง หากห้องที่มีแสงไม่พอ การนำสีโทนเข้มเกินไปจะทำให้ห้องดูมืดได้ ในทางกลับกัน หากห้องมีแสงมาก การเลือกสีโทนสว่าง อาจจะทำให้ห้องนั้นดูสว่างมากจนเกินไป จนอาจจะทำให้เกิดการล้าของสายตาได้ ดังนั้นควรสังเกตุก่อนเลือกสีว่า ห้องทำงานนั้นมีแสงธรรมชาติพอไหม ควรติดไฟเพิ่มไหม เป็นต้น
เคล็ดลับเสริมท้ายนิดหน่อย: (แถมๆ)
- อย่าลืมเลือกสีให้เหมาะกับธรรมชาติของงาน
- ส่วนวิธีที่ง่ายที่สุด หรือเลือกสีแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน คือเลือกสีหลักเป็นสีขาว สีครีม สีโทนไม้ จากนั้นค่อยเอาสีรองกับสีเสริมเป็นสีที่ตัวเองชอบ หรือสีที่อยากให้มีอยู่ในออฟฟิศนั่นเอง
สรุปการเลือกสีสำหรับออฟฟิศไม่ใช่แค่ความสวยงาม แต่ยังเกี่ยวข้องกับการทำงานและจิตใจของพนักงานด้วย
สุดท้ายนี้ ขอฝากเฟอร์นิเจอร์สำนักงานหน่อยนะครับ ที่Rocky มีจำหน่ายทั้ง เก้าสำนักงาน, โต๊ะทำงาน, พาร์ทิชั่น, ตู้ล็อคเกอร์, ตู้เอกสาร และ ชั้นวางของครับ สนใจติดต่อได้เลย
Reference
https://mostlydanish.com/blogs/news/tips-for-choosing-furniture-colours
https://www.sciencedaily.com/releases/2015/05/150526093611.htm